ในเมื่อออกไปเที่ยวกันได้แล้ว ก็ไปเติมอากาศสะอาดสดชื่นให้เต็มที่ เรามี 10 ประเทศมาแนะนำ เลือกจิ้มกันได้เลย แต่ใครยังไม่พร้อมออกไป แค่ติด KT Gear Airflow ไว้ที่บ้าน ก็เหมือนได้ไปมาครบ 10 ประเทศนี้แล้วครับ
อิตาลีมีอากาศที่ดีมากๆ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าประเทศอิตาลีนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรอิตาลีที่ถูกล้อมรอบด้วยทะเลในทุกๆ ด้าน ยกเว้นทางเหนือที่ติดกับประเทศฝรั่งเศส จึงทำให้อิตาลีถือเป็นอีกหนึ่งประเทศในแถบยุโรปที่มีอากาศดี อีกทั้งทางตอนเหนือของอิตาลียังมีทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่มากมาย เช่น ทะเลสาบการ์ดา โกโม มัจโจเร และทะเลสาบอีเซโอ อีกด้วย
อุรุกวัย มีสภาพอากาศแบบกึ่งร้อน และชื้นในบางพื้นที่ และเนื่องจากไม่มีภูเขาจึงทำให้มีกระแสลมไหลเวียนเรื่อยๆ มาจากที่อื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ โดยมีกระแสลมที่พัดมาจากขั้วโลกเป็นตัวแปรสำคัญ อีกทั้งอุรุกวัยไม่เคยเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงอย่าง สึนามิ เฮอร์ริเคน หรือแผ่นดินไหวเลยสักครั้ง จึงทำให้ที่นี่ช่างน่าอยู่ และเหมาะกับการไปสูดโอโซนอย่างแท้จริง
โคลัมเบีย เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร สภาพอากาศโดยทั่วไปจึงมีลักษณะร้อนชื้น และมีอุณหภูมิคงที่ตลอดทั้งปี โคลัมเบียจะเริ่มตั้งแต่ร้อนมากบนพื้นที่ระดับน้ำทะเล และจะค่อยๆ มีอุณหภูมิต่ำลงบนพื้นที่ที่อยู่สูงขึ้นไป โดยชายฝั่งทะเลแคริบเบียนและแปซิฟิก จะมีอุณหภูมิและความชื้นสูงตลอดทั้งปี ส่วนพื้นที่บนภูเขาอากาศจะเย็นลงโดยมี ลม ระดับความสูง และลักษณะภูมิประเทศเป็นตัวแปรที่สำคัญนั่นเอง
แอฟริกาใต้ อยู่ตอนปลายทางใต้สุดของทวีปแอฟริกา แน่นอนว่านอกจากจะเป็นถิ่นของสาวงามที่กวาดมงกุฏหลายเวทีโลกแล้ว ยังติดอันดับเป็นประเทศที่มีอากาศดีๆ เป็นอันดับต้นๆ ของโลกอีกด้วย
อาร์เจนติน่า เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีสภาพอากาศหลากหลาย และแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เพราะมีทั้ง เทือกเขาแอนดีส ที่ทอดไปตามแนวความสูงของทั้งประเทศ ทำให้ทางตอนใต้ของประเทศจะมีสภาพอากาศหนาวเย็นมากๆ และเป็นน้ำแข็งแทบตลอดทั้งปี ในขณะที่ ตอนเหนือของประเทศจะมีลักษณะอากาศแบบกึ่งร้อน ขณะที่ตอนกลางอากาศจะร้อนชื้น
ฟังดูอาจไม่ค่อยคุ้นหูกันเท่าไหร่ กับ มอลตา ที่นี่เป็นประเทศหมู่เกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของยุโรปนั่นเองค่ะ ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะซิซิลีของประเทศอิตาลีราว 60 ไมล์ สภาพอากาศที่นี่ถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในยุโรป มีอุณหภูมิเฉลี่ย 21 องศาเซลเซียส ในเวลากลางวัน มีแสงแดดเฉลี่ยประมาณวันละ 5 ชั่วโมง ขณะที่หลายประเทศในยุโรปมีหิมะตกหนัก แต่มอลตากลับแทบไม่เคยได้สัมผัสหิมะเลย
พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศออสเตรเลียเป็นทะเลทรายซึ่งมีขนาดทะเลทรายรวมกัน ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากทะเลทรายซาฮาราในทวีปแอฟริกา พื้นที่ราว 40% จึงถูกปกคลุมด้วยเนินทราย จะมีเพียงดินแดนทางตอนใต้ด้านตะวันออกและตะวันตกเท่านั้นที่อากาศเย็น และมีผืนดินค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ โดยในช่วงฤดูร้อน (ธ.ค.-มี.ค.) จะมีอุณหภูมิเฉลี่ย 29 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงฤดูหนาว (มิ.ย.-ส.ค.) อุณหภูมิเฉลี่ยที่ 13 องศาเซลเซียส
ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีอากาศเย็น แต่ในแต่ละภูมิภาคก็มีสภาพอากาศที่แตกต่างกันไป เช่น กรุงปารีส นั้นจะมีสภาพอากาศค่อนข้างเย็น และมักมีฝนตก ในช่วงฤดูร้อนก็จะค่อนข้างร้อนเลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นเมืองที่อยู่บริเวณเทือกเขาแอลป์ ก็จะมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี หรือ แคว้นโพรวองซ์ ที่จะมีแสงแดดอบอุ่น และไม่หนาวจัดในฤดูหนาว
เอกวาดอร์ เป็นประเทศเล็กๆ ตั้งอยู่ในบริเวณเส้นศูนย์สูตร และมีชายฝั่งติดมหาสมุทรแปซิฟิก ด้วยความที่ตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร เอกวาดอร์ จึงได้รับแสงแดดแบบเต็มๆ ถึงวันละ 12 ชั่วโมงตลอดปี เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างกัน คือมีทั้งที่เป็นภูเขา ป่าฝน และพื้นที่แถบชายฝั่งทะเลแปซิฟิก ดังนั้นในแต่ละพื้นที่จึงมีสภาพอากาศที่แตกต่างกัน เช่น กิโต้ เมืองหลวงของประเทศเอกวาดอร์ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 9,350 ฟุต (2,849 เมตร) เป็นเมืองหลวงที่อยู่สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก มีสภาพอากาศเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี มีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 24 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน และ 10-13 องศาเซลเซียสในช่วงเวลากลางคืน
เม็กซิโก เป็นประเทศที่มีสภาพอากาศที่หลากหลายมากขึ้นอยู่กับความสูงของพื้นที่ กระแสลม และกระแสน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิก บริเวณชายฝั่งของเม็กซิโกมีภูมิอากาศแบบเขตร้อน ส่วนพื้นที่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 900 เมตรขึ้นไป จะมีสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็น และทางตอนเหนือของประเทศกลับแทบไม่มีฝนตกเลยตลอดทั้งปี และแน่นอนว่าทำให้ที่นี่มีอากาศดีๆ ด้วยเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก True ID
Comentários